เทศกาลลอยกระทง
ความหมายและความสำคัญ
วันลอยกระทงเป็นประเพณีและพิธีกรรมที่นับเนื่องกับพระพุทธศาสนา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ การลอยกระทงทำขึ้นเพื่อบูชารอยพระบาทที่ประดิษฐานอยู่ ณ ชายหาดริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ใน ชมพูทวีป
ตามหลักฐานที่ปรากฏในปุณโณวาทสูตรท่านเล่าว่า
คราวหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จพุทธดำเนินไปแสดงธรรมโปรดพญานาคชื่อ นัมมทา ณ นาคพิภพ
ครั้นแสดงธรรมจนพญานาคเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นแล้วก็เสด็จกลับ
ก่อนเสด็จกลับนั้น พญานาคกราบทูลขอของที่ระลึกสักอย่างหนึ่งจากพระพุทธองค์
พระพุทธองค์จึงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ให้เป็นอนุสรณ์ที่ชายหาดริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา
คนไทยคงได้คตินี้จึงคิดประเพณีลอยกระทงขึ้นเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทนี้
ตามหลักฐานจากหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน
ในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แสดงว่า
วันลอยกระทงหรือประเพณีลอยกระทงนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่
๑ (ลิไทย) แล้ว
ในส่วนที่วันลอยกระทงเริ่มมีการประกวดนางนพมาศขึ้นมาในยุคหลังนั้น
สืบเนื่องมาจากมีเรื่องเล่าไว้ในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
ผู้เป็นพระสนมเอกของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ ว่า คราวหนึ่งพระมหาธรรมราชาที่ ๑
ทรงโปรดฯ ให้ข้าราชบริพารจัดแต่งกระทงสำหรับลอยหน้าพระที่นั่งในวันเพ็ญ เดือน ๑๒
เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทตามที่กล่าวแล้ว ในการนี้ท้าวศรีจุฬาลักษณ์
ซึ่งขณะนั้นมีชื่อเดิมว่า นางเรวดีนพมาศก็ได้ร่วมประดิษฐ์กระทงด้วย
กระทงของนางเรวดีนพมาศนั้นมีรูปลักษณ์แปลกออกไปจากกระทงของคนอื่น
คือนางประดับกระทงด้วยดอกบัวชนิดหนึ่งซึ่งปีหนึ่งจะบานเพียงหนเดียว
คือบานในวันเพ็ญเดือน ๑๒ นี้เท่านั้น ดอกบัวชนิดนี้ชื่อดอก กมุท หรือ โกมุท กุมุท
คือดอกบัวขาว กระทงของนางเรวดีนพมาศที่แต่งเป็นดอกกมุทนี้ประดับด้วยประทีปอย่างงดงาม
เป็นที่สดุดตาของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ เป็นอันมาก
ท้าวเธอทอดพระเนตรแล้วทรงพอพระทัยจึงตรัสสืบว่า
ต่อไปเบื้องหน้าขอให้ทุกคนเอาอย่างนางเรวดีนพมาศนี้
จงแต่งกระทงประทีปลอยในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ให้เป็นรูปดอกกมุทสืบไป
จุดมุ่งหมายในวันลอยกระทง
๑.
บูชารอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่บนชายหาดริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ณ ชมพูทวีป
ความจริงรอยพระพุทธบาทนี้ไม่ได้ประดิษฐานอยู่ที่นี้ที่เดียว
แต่ผู้รู้กล่าวว่ายังมีประดิษฐานอยู่ที่อื่นอีก ๔ แห่ง คือ ภูเขาสัจจพันธคีรี
ยอดเขาสุมนกูฏ (ลังกา) สุวรรณบรรพ (จังหวัดสระบุรี ประเทศไทย) และเมืองโยนก
รวมทั้งหมดเป็น ๕ รอย
การลอยกระทงมีคติธรรมที่ควรยึดถือ คือ
แทนที่จะลอยแต่เพียงกระทงอย่างเดียว ชาวพุทธก็ถือเป็นโอกาศในการ ลอยบาป คือ
ละความเห็นผิด เลิกพฤติกรรมที่ไม่ดีไม่งามของตน
รวมทั้งลอยความอาฆาตพยาบาทที่ตนมีต่อคนอื่น เป็นต้น ทิ้งออกจากใจ
ปล่อยให้ลอยไปกับสายน้ำเสียด้วย
หากทำได้ดังนี้การลอยกระทงก็มีความหมายในทางที่หน้าสรรเสริญและควรกระทำอย่างยิ่ง
ทั้งนี้กล่าวตามแนวแห่งพระพุทธพจน์ที่ว่า พาหิตปาโป หิ พฺราหฺมโณ :
ผู้ลอยบาปเสียได้ นับว่าเป็นผู้ประเสริฐแท้
๒. การบูชารอยพระพุทธบาทที่แท้นั้นไม่ได้หมายถึงปีหนึ่งมีเพียงหนึ่งครั้ง
คือ ในวันลอยกระทงเท่านั้น แต่เราสามารถบูชารอยพระพุทธบาทได้ตลอดเวลา
ด้วยการน้อมนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาปฏิบัติในชีวิตจริง
การบูชารอยพระพุทธบาทด้วยการปฏิบัติดีงามตามธรรมนี้แหละ คือ การบูชาที่แท้ที่มีสาระประโยชน์สอดคล้องกับพระพุทธประสงค์สมดังที่พระองค์ตรัสประทานพุทโธวาทไว้ว่า
อานนท์ ภิกษู ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาคนใดก็ตามที่ประพฤติธรรมตามสมควรแก่ธรรม
ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมอยู่ ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่า สักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ตถาคตด้วยการบูชาอันสูงสุด
๓.นอกจากการลอยกระทงจะเป็นการลอยสิ่งที่ไม่ดีงามออกจากตน
และลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทแล้ว
ในอีกความหมายหนึ่งในการลอยกระทงยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการขอขมาต่อแม่คงคามหานทีอีกด้วย
ทำไมต้องขอขมาต่อแม่คงคามหานที คำตอบก็เพราะว่า ในแต่ละปีเราใช้น้ำและทิ้งสิ่งสกปรกลงในแม่น้ำลำคลอง
จนทำให้แม่น้ำลำคลองซึ่งเป็นผู้มีพระคุณในฐานะที่เป็นแหล่งกำเนิดข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มและน้ำใช้ต้องสกปรกและสูญเสียคุณภาพที่ดีไป
เมื่อเราสำนึกได้ถึงความผิดของตนเอง จึงควรทำพิธีขอขมาต่อแม่น้ำลำคลองเสียครั้งหนึ่งในหนึ่งปี
อย่างไรก็ตาม
การขอขมาต่อแม่น้ำลำคลองด้วยการลอยกระทงยังเป็นการขอขมาในเชิงสัญลักษณ์ซึ่งไม่ช่วยให้แม่น้ำลำคลองที่สกปรกดีขึ้นได้
การขอขมาต่อแม่น้ำลำคลองที่แท้หมายถึง
การช่วยดูแลรักษาแหล่งน้ำทุกแหล่งให้สะอาดปราศจากมลพิษ
ถ้าทำได้อย่างนี้การลอยกระทงก็จะมีประโยช์ทั้งในทางศาสนา ในทางวัฒนธรรม
และในทางสังคม
---------------------------------------------